เทศน์พระ

เมตตาธรรม

๒ พ.ย. ๒๕๕๒

 

เมตตาธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นพระนะ เราต้องตั้งสติ อย่างเวลาออกพรรษาแล้วน่ะเห็นไหม ต้องออก ออกวิเวกน่ะ แต่เวลาเราอยู่บ้านตาดนะ สมัยอยู่บ้านตาดท่านไม่ให้ออกวิเวก ต้องอยู่ได้ ๕ ปี ถ้าก่อน ๕ ปีแล้วออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตท่านจะไม่รับกลับมาเลย แล้วเวลาตอนอยู่กับท่านเราก็สังเกตนะว่าทำไมท่านทำอย่างนั้น

ไปดูกุฏิที่บ้านตาดสมัยโบราณนะ ว่าสมัยก่อนเรา สมัยเราก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ จะมีกุฏิอยู่หลังหนึ่ง กุฏิหลังใดก็แล้วแต่จะมีร้านไว้คู่กับมัน เวลามีร้านไว้คู่กับมัน เพราะเราอยู่กุฏินี่นะมันจะร้อนใช่ไหม จะมีร้านเอาไว้เพื่อหลบร้อน สมัยก่อนอยู่บ้านตาดนี่จะมีกุฏิอยู่หลังหนึ่ง ใครจำพรรษาจะมีสิทธิอยู่ที่กุฏิด้วย แล้วจะมีร้านอีกหลังหนึ่งเอาไว้เวลาหลบร้อนไง

เราต้องดูว่าในพรรษาหนึ่งนี่ มันจะมีหน้าหนาว หน้าฝน หน้าร้อน พอหน้าร้อน ขึ้นมาบางทีเราจะอยู่ที่ไหนกัน เห็นไหม เราก็สังเกตดูว่า อ๋อ.. ครูบาอาจารย์ท่านภาวนา ท่านจะรู้นะว่าเวลาคนภาวนา คือว่าความเป็นอยู่ของเราใน ๒๔ ชั่วโมง มันจะอยู่กันอย่างไร แล้ว ๒๔ ชั่วโมงในหน้าร้อน มันจะร้อนขนาดไหน

เราเหมือนนกนี่เห็นไหม เวลานกมันร้อนอยู่ในรัง เวลามันร้อน มันกางปีก มันอ้าปาก โอ้โฮ มันร้อนของมันมาก ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้ออกไป ให้อยู่ครบ ๕ ปี ถ้าไม่ถึง ๕ ปี ไม่ลาออกไปหรือออกไป ท่านจะไม่รับกลับมาเลย แต่ถ้าจะไปไหน อยู่กับท่าน ๕ ปี เวลาออกวิเวกท่านก็ให้อยู่

จะบอกว่าท่านเมตตามากไง เหมือนกับว่าเราเลี้ยงสัตว์ เวลาสัตว์มันร้อน ดูสิ เวลาสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม เวลาไก่ในฟาร์มเขานี่ เขาต้องมีฟองน้ำ เขาต้องมีอากาศ ถ้าอุณหภูมิมันแตกต่าง สัตว์มันก็ไม่โต เห็นไหม อันนั้นเพื่อผลประโยชน์ของเขา

แต่นี่ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะให้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีหลักมีธรรม ให้หัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ท่านยังหาที่ให้เราเห็นไหม แล้วท่านยังคิดดูว่าคนๆ หนึ่งเวลาจะอยู่ประจำในฤดูกาล จะมีความเป็นอยู่อย่างไร ท่านยังมีกุฏิให้หลังหนึ่ง มีร้านให้หลังหนึ่งเห็นไหม

แล้วหลวงปู่เพียรก็พูดเหมือนกันว่า “ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่ภาวนาที่นี่ดีกว่า” นี่ดีกว่า คำว่าดีกว่าเพระว่าอะไร เพราะว่าถ้าภาวนาขึ้นมานี่ มันจะเป็นขึ้นได้ แต่การเที่ยววิเวก การออกไปนี่มันเป็นเรื่องธรรมดานะ

เวลาท่านเทศน์ธรรมะของหลวงตา ท่านจะบอก เวลาท่านเทศน์กับพระนะ “อย่าหวังว่าอยู่ด้วยกันมันจะพึ่งพากันได้ตลอดไปนะ ท่านไม่จากผมไป ผมก็อาจจะจากท่านไป เราอยู่ด้วยกันเพื่อจะจากกันนะ มันต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นที่สุดนะ ใครอยู่แล้วอย่านอนใจ ต้องพยายามสร้างหลักสร้างเกณฑ์ของเราขึ้นมาให้ได้”

นี่ก็เหมือนกัน การอยู่ด้วยกันน่ะ จะบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันจนตายเลยนะ เราจะรักกันจนตาย มันต้องมีวันพลัดพรากนะ มันเป็นเรื่องธรรมดา นี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วนี่เราต้องรักษาใจเรา ใจของเราๆ ต้องอยู่ของเราได้ ถ้าใจของเราอยู่กับเราได้ เราต้องดูแลเรา ความอยู่ด้วยกันมันเรื่องปกติธรรมดา ความผิดพลาดด้วยการพลั้งเผลอด้วยความไม่ตั้งใจนี่อภัยกันได้

แต่ความผิดพลาดโดยตั้งใจ ด้วยความจงใจ ความจงใจเห็นไหม เว้นแต่การเล่นกัน การหยอกการเล่นกัน สมัยพุทธกาล เห็นไหม จี้เอวกันจนพระหัวเราะจนตายเห็นไหม ภิกษุจี้เอวให้หัวเราะกันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เหตุเพราะภิกษุเล่นกัน แล้วเอานิ้วจี้เอว คนมันบ้าจี้ ก็สนุกกันไง จนพระนั้นช็อกตาย พอช็อกตายขึ้นมานี่ ภิกษุเอานิ้วจี้เอวกันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่การเล่นกัน มันก็ธรรมดาใช่ไหม ธรรมดาของคน คนอยู่ด้วยกันก็เล่นกันบ้าง อะไรบ้าง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่เรื่องธรรมดา ความเป็นอยู่ของเรานะ เราเป็นพระ ถ้าเราเป็นพระขึ้นมาแล้วนี่เห็นไหม เป็นพระนี่สมมุติสงฆ์ แล้วเราพยายามปฏิบัติของเราขึ้นมา ความเป็นจริงนะ ดูสิ เราศึกษา ทางวิชาการเขาศึกษาขนาดไหน เขาจำเอานี่ ความจำเป็นความจริงไม่ได้นะ ดูสิ ประสบการณ์ชีวิตของเราเห็นไหม แต่ละพรรษาๆ เราจะมีประสบการณ์ชีวิตของเราขึ้นมา แล้วประสบการณ์ชีวิตมันจะสอนเรานะ นี่ประสบการณ์จากภายนอก

แล้วประสบการณ์จากภายในล่ะ เวลาจิตมันเป็นไปขึ้นไป มันพัฒนาการของมันขึ้นมา เวลามันตั้งใจตั้งสติขึ้นมา เวลาจิตมันสงบ จิตมันเป็นไป พอมันเป็นไป มันเป็นไปด้วยกิเลสบวก มันเป็นไปโดยสัญญาอารมณ์ มันจะว่างอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะมหัศจรรย์อย่างนั้น

เวลาไปพูดให้ครูบาอาจารย์ฟังนี่ ท่านรู้ เพราะอะไร เพราะท่านผ่านมาก่อนไง นี่ดูสิ เวลาพูดเมื่อวานเห็นไหม ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้เข้าสู่สำรวจดวงอาทิตย์” นี่เข้าไปสู่สำรวจมัน การเข้าไปสำรวจดวงอาทิตย์ ดูสิ เวลายานอวกาศเข้าไป มันย่อยสลายหมดน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน การจะเข้าไปสู่จิตน่ะ เวลาเราตั้งสติ เรากำหนดพุทโธของเราขึ้นมา หรือจิตเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมา มันจะมีอาการของมัน มันจะรับรู้ของมัน ดูสิ มันหลอมละลายเห็นไหม เอายานอวกาศเข้าไปนี่เห็นไหม ไม่เหลือหรอก มันจะหลอมละลายหมด ชีวิตนี่ตายหมดเลย

แต่นี่เวลาพุทโธ พุทโธ เข้าไปนี่ ล่มสลายหมดเลยนะ พุทโธ พุทโธ ตั้งสติเข้าไปนะ โอ๊ย สมาธิเป็นอย่างนั้น สมาธิเป็นอย่างไร ดูสิ มันก็ทำลายเรานะ มันทำลายทุกอย่าง กิเลสมันทำลายทุกอย่าง แต่ถ้าเราเข้าไปถึงแก่นแท้ของมันได้เห็นไหม มันสงบเย็นนะ พอมันสงบเย็นขึ้นมา เห็นไหม

ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย แม้แต่ถ้าจิตสงบมันก็พออยู่พอกินไง คำว่าพออยู่พอกิน มันสงบของมันนะ มันพออยู่พอกินของมัน มันรักษาตัวได้ ถ้ามันรักษาตัวได้มันเป็นพื้นฐานของเรานะ พื้นฐานของเราเพราะอะไร เพราะธรรมชาติของจิต

ธรรมชาติ ดูสิ ดูภูมิอากาศสิ เวลามันเปลี่ยนแปลงขึ้นไป มันเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของมัน แล้วมันเปลี่ยนแปลงแล้วมันอยู่ของมันได้ ใจของเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะ แล้วเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ แล้วถึงที่สุดเห็นไหม เราจะต้องชราคร่ำคร่าไปเป็นธรรมดา

นี่ไง ว่าธรรมะนี่ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้วแหละ แต่ผู้ที่ได้ศึกษาธรรมชาติแล้วรู้จักธรรมชาติขึ้นมาสิ รู้สัจธรรมขึ้นมา สิ่งต่างๆ เห็นไหม อริยสัจเป็นธรรมชาติไหม ? เป็น เป็นสมมุติทั้งนั้นล่ะ เป็นความจริงทั้งนั้นแหละ มันเป็นความจริงอันหนึ่งเห็นไหม

สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นธรรมดา สิ่งต่างๆ เป็นธรรมดา มันเป็นอนัตตา พอมันเป็นอนัตตาเห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา แล้วนี่อัตตา.. อนัตตา นี่มันเป็นของมัน อัตตานี่ อัตตานะมันอยู่ในหัวใจของเรา มันยึดมั่นของมัน มันยึดของมันโดยที่เราไม่รู้ตัว เราคิดว่านี้เป็นความดีความชอบ นี้เป็นวิชาการ นี้เป็นความรู้ของเราไง เราไปยึดความรู้ของเรา

ความรู้เราเชื่อถือได้ไหม ความรู้ความเห็นของเรานี้มันเป็นจริงไหม มันพอเชื่อถือจริงจังได้ไหม ความรู้ของเรานี่ แต่ถ้าเราศึกษาของเราเห็นไหม ความรู้นี่เป็นประสบการณ์ไง ประสบการณ์ที่มันจะเป็นไปไงเห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันหนึ่งนะ ความเป็นจริงในใจของเราเป็นอันหนึ่งนะ มันเป็นอีกอันหนึ่งเห็นไหม

ประสบการณ์ในชีวิตนั้นนะ ดูสิ เราพรรษามากขึ้นมา ๕ พรรษา ๑๐ พรรษาขึ้นมาแต่ละองค์ขึ้นมาเห็นไหม นี่ประสบการณ์ของเรามีขึ้นมา แล้วเราบวชตอนแรกเห็นไหม ภิกษุใหม่ทนได้ยากต่อคำสอนของครูบาอาจารย์ นี่จ้ำจี้จ้ำไช ฮู.. น่าเบื่อมากเลยเห็นไหม ภิกษุใหม่ทนได้ยาก พรรษา ๑ พรรษา ๒ ไปเรื่อยๆ เห็นไหม พอพรรษา ๕ ถ้าภิกษุที่ฉลาด ๕พรรษาขึ้นไปพ้นจากนิสัย

พ้นจากนิสัยขึ้นไป ดูสิ เช่น สวดปาติโมกข์ ใครสวดปาติโมกข์ได้นี่จะเข้าใจนะ ว่าเวลาเราสวดปาติโมกข์ได้นี่ กับธรรมวินัยที่เราจำได้แม่นยำ ท่องคล่องปาก ถ้าการกระทำของเรามันจะรู้เลยนะ มันจะรู้ว่าเราผิดวินัยข้อนั้นๆ มันเตือนนะ มันเตือนเราเลยว่าควรหรือไม่ควรเลยล่ะ

แต่ถ้าเราท่องปาติโมกข์ไม่ได้นี่นะ ปาติโมกข์มันก็อยู่ในหนังสือก็ธรรมดานั่นแหละ แต่ใจเรามันจำไม่ได้เห็นไหม นี่ความจำ ภิกษุผู้ฉลาด พ้น ๕ พรรษาไปแล้วพ้นจากนิสัย แล้วพอพ้นจากนิสัยไปไหนแล้วไม่ขอนิสัยมันก็ไม่เป็นอาบัติเห็นไหม

คำว่าพ้นนิสัย มันเหมือนบรรลุนิติภาวะนี่ มันเอาตัวรอดได้ มันฉลาดในธรรมวินัย ในความผิดพลาดไง มันไม่ถึงกับว่า.. ดูสิ เวลาพระบวชใหม่ เห็นไหม ปาราชิก ๔ ถ้าล่วงปาราชิก ๔ ไปแล้วนี่ มันขาดจากพระโดยธรรมวินัย มันเป็นไปเลยเห็นไหม นี่มันอันตรายไง มันถึงต้องพ้นนิสัย มีครู มีพี่เลี้ยง มีคนคอยดูแล

แต่ถ้าผู้ฉลาดแล้วพ้นจากนิสัยเห็นไหม ความศึกษาอย่างนี้มันยังเป็นประโยชน์มากเลย นี่ขนาดว่าพระธรรมวินัยที่เราจำมานะ เราท่องจำจนคล่องปาก ผู้ที่สวดปาติโมกข์แล้วต้องทวนทุกวันๆ ทวนทุกวันให้คล่องปากไง มันเป็นอานิสงส์ มันเป็นอานิสงส์ที่จะรักษาตัวเองด้วย มันเป็นอานิสงส์เวลาเราลงอุโบสถ เราได้สวดอุโบสถ ได้ทำการแทนพระพุทธเจ้าด้วย

แต่เดิมพระพุทธเจ้าเป็นผู้สวดปาติโมกข์เอง แล้วเห็นไหมเวลาสุดท้ายแล้วภิกษุไม่สะอาดบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าแสดงปาติโมกข์มันจะเป็นโทษกับภิกษุองค์นั้น พระพุทธเจ้าเลยยังไม่แสดงปาติโมกข์ จนเวลาล่วงจนจะอรุณน่ะ พระอานนท์นิมนต์แล้วนิมนต์อีกเห็นไหม

พระพุทธเจ้าบอกว่า “สงฆ์นั้นไม่สะอาด ถ้าเราแสดงไปแล้วสงฆ์องค์นั้นจะแตกเป็น ๘ เสี่ยง พระอนุรุทธะกำหนดจิตดูนะ ไปเอาออกเลยนะ ไปเอาพระ ๒ องค์นั้นออกไป เดี๋ยวนี้บริสุทธิ์แล้ว

พระพุทธเจ้าสะเทือนใจมาก “ต่อไปนี้เราจะไม่แสดงปาติโมกข์แล้ว จะให้พวกเธอแสดงแทน” แล้วเราก็สวดปาติโมกข์แทน นี่อานิสงส์นะ เวลาผู้แสดงปาติโมกข์ นี่อานิสงส์ในการลงอุโบสถมันก็เป็นบุญกุศลอันหนึ่ง อานิสงส์ที่รักษาตัวเองรอดมันก็เป็นบุญของเราอีกอันหนึ่ง รักษาตัวเรารอด รักษาตัวเราดี นี่พูดถึงจากภายนอก

แล้วจากภายในเห็นไหม ถ้าเราตั้งจิตจนจิตเราสงบเข้ามา สิ่งที่ประสบการณ์อันนี้มันก็จะรักษาจิตของเรา อันนี้รักษาตัวเรา ที่เป็นสมมุติสงฆ์ให้รอดจากความเป็นอยู่ รอดจากชีวิต รอดจากการผิดธรรมวินัย แต่ธรรมวินัย รอดจากการทำผิดทางวินัยทางพุทธศาสนา

แต่ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม เวลาทำจิตสงบขึ้นมา จิตมันสงบเข้ามา จิตสงบขึ้นมานี้ หนหนึ่ง ๒ หน ชำนาญในวสี แล้วทำจิตสงบได้มากขึ้นๆ เห็นไหม ถ้าทำจิตให้สงบได้มากขึ้นๆ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเรามีความชำนาญ สมาธิมันจะเสื่อมไปไหนล่ะ

สิ่งที่ยังทำไม่ได้นี่ สมาธิไม่เข้มแข็ง สมาธิอ่อนแออยู่ก็ใช้ปัญญากันไป ปัญญาที่เราใช้ของเรา ถ้าเราฝึกของเราไปนะ ฝึกโดยตั้งใจของเรา เราทำมาอย่างนี้ เราก็ทำมา อย่างไรก็แล้วแต่เราดันไปข้างหน้าอย่างเดียว มันจะเสื่อม มันจะอะไร มันเสื่อมแน่นอน

ดูสิ ดูไฟเห็นไหม ที่ติดไฟนี่ เวลาเราจุดไฟนี่ ลมพัดมันก็ดับแล้ว กว่าเราจะไปจุดไฟในเตาให้ไฟในเตามันติด นี่ก็เหมือนกัน กว่าเราจะตั้งสติขึ้นมานี่ ตั้งสติพุทโธ พุทโธ พุทโธ กว่ามันจะเป็นไปนะ พุทโธทีหนึ่งมันก็จุดไฟได้สักทีหนึ่งเพื่อไปจุดฟืน ฟืนก็คือหัวใจที่มันยังดิบๆ อยู่ให้มันติดไฟขึ้นมา พอติดไฟขึ้นมาเห็นไหมพลังงานมันเกิดแล้ว

เวลาพูดถึงว่าเข้าไปสู่ดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เป็นพลังงานอยู่แล้ว แต่ในใจของเราปฏิสนธิจิตน่ะ จิตปฏิสนธินะ ฐีติจิต อวิชชาเกิดจากฐีติจิต ถ้าจะไปแก้อวิชชานี่ ถ้าเข้าถึงฐีติจิตก็กลับมาแก้อวิชชา กลับมาทำลายอวิชชา

นี่ก็เหมือนกัน จะแก้กิเลสน่ะ ถ้าไม่เข้าไปสู่จิต ถ้าไม่เข้าไปสู่สัมมาสมาธิจะเอาอะไรไปแก้มัน แล้วสมาธินี่เห็นไหม หลวงตาท่านพูดประจำว่า “สมาธิจับไว้ ปัญญาตัด” สมาธิจับไว้เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้าไปแล้วเข้าไปถึงจิตเห็นไหม เพราะกิเลสมันเกิดจากจิตใช่ไหม

พอกิเลสมันเกิดจากจิต สมาธิมันเข้าไปถึงจิตใช่ไหม นี่เข้าไปเห็นสถานที่เกิดของมัน แล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญมัน หามัน จับมันให้ได้ ถ้าจับได้ปัญญามันจะตัด คลี่คลายมันออกมา ปัญญาจะคลี่คลายมันออกมานะ ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง สิ่งนั้นให้ผลหรือให้โทษอะไรกับเรา ปัญญามันก็เกิดขึ้นมา เห็นไหม

นี่สมาธิจับ ปัญญาตัด แต่ปัญญาขณะที่ฝึกฝนอยู่นี่ ถ้ามันจับ มันตัดขึ้นมา มันก็แหวกพงหญ้าเข้าไป แหวกพงหญ้าแหวกจากความสกปรกโสโครกเข้าไปสู่ตัวใจ

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาที่เราใช้มันเป็นปัญญาสามัญสำนึกเห็นไหม ปัญญาที่เขาดูถูกเหยียดหยามกันเห็นไหม ว่าสมถะ สมถะ สมาธิคือหินทับหญ้า หินทับหญ้า มันจะทับหญ้าอย่างไร คำว่าหินทับหญ้านี้เปรียบเวลาท่านแก้ลูกศิษย์ลูกหา ที่เวลาจะภาวนาไปแล้วว่าสิ่งนี้จะเป็นธรรม มันก็เป็นหินทับหญ้าไว้ มันยังไม่เป็นความจริง เพราะหินทับไว้ พอเปิดมันก็จะงอกงามขึ้นมา

แต่การเข้าสมาธินี่ หินทับหญ้าไหม คนเข้าสมาธินี่ มันยังไม่เกิดสมาธิ มันจะมีหินที่ไหน มันไม่มีหินน่ะ มันจะไปทับหญ้าที่ไหน หญ้าคือกิเลสใช่ไหม มันต้องมีหินมันถึงไปทับหญ้าได้ใช่ไหม ถ้าไม่มีหินเอาอะไรไปทับมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีสมาธิจะเอาอะไรไปทับมัน หินทับหญ้าๆ ก็เลยกลัวกัน หินก็ไม่มี หญ้าก็ไม่มี แล้วกลัวนะว่าจะเป็นหินทับหญ้านะ แล้วจะเป็นปัญญา มันก็เลยไกลกว่าความจริงไง มันไกลจากความจริง ไกลจากข้อเท็จจริงไป มันเป็นปัญญาสามัญสำนึก มันไปเป็นโลกียปัญญาไง มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธินี้เราก็ตั้งใจ ตั้งใจแล้วทำของเรา ใช้ปัญญาไปได้ คำว่าใช้ปัญญาไปได้ก็เหมือนกับการฝึกหัดงานน่ะ เราจะมีความชำนาญทางใด เห็นไหมทำงานทางไหน

ดูสิ คนพิการน่ะ เขายังฝึกอาชีพได้เลยน่ะ เห็นไหม คนพิการเขาใช้เท้าวาดรูปนะ เขาใช้เท้าหากินนะ เขายังทำงานได้ แล้วนี่จิตของเราก็มี ความเป็นจริงของเราก็มีนี่ เราไม่ใช่พิการ ยิ่งหัวใจนะ คนพิการมันก็ภาวนาได้ คนพิการก็พิการแต่ร่างกายนะ

ดูสิ พระอรหันต์ในสมัยพระพุทธเจ้าน่ะ ค่อมเตี้ยก็มี เป็นพระอรหันต์เยอะแยะ พระอรหันต์น่ะ เรื่องนี้มันเรื่องบุญกุศลใช่ไหม การเกิดมาเนี่ย รูปร่างหน้าตามันเป็นเรื่องของบุญกุศลนะ ชีวิตนี่ อายุยืนยาว อายุสั้น มันก็เป็นบุญกุศล นี่มนุษย์สมบัติ ศีล ๕ ไง

ใครถือศีลดี ใครรักษาศีลดี เห็นไหม เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตน่ะ ชีวิตเราจะยืนยาว การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การรังแกกันน่ะ ทำให้อายุเราสั้นลง ใครที่ได้เสียสละมา คนนั้นทำหน้าที่การงานได้ประสบความสำเร็จ การเสียสละทาน เห็นไหม พระสีวลีเป็นผู้ให้ทานได้มากที่สุด เห็นไหม ใครรักษาศีล กาเมสุมิฉาจารา เราไม่ผิดครอบครัวใคร ครอบครัวเราก็ร่มเย็นเป็นสุข เพราะสมบัติมันทำมา มุสา สุรา นี้ทั้งนั้นแหละ มนุษย์สมบัติ ศีล ๕ คือมนุษย์สมบัติ เรามีศีล ๕ ที่ดี มีมนุษย์สมบัติที่ดี

แต่ได้มนุษย์สมบัติขึ้นมาแล้วนี่ สิ่งใดมันเข้ม สิ่งใดที่มันทำมามาก สิ่งใดที่ทำมาน้อย มันก็มีคุณค่าแตกต่างกัน ชีวิตของมนุษย์เลยหลากหลายไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเพราะอะไร เพราะการกระทำ เพราะศีลธรรม มันเป็นสิ่งที่ทำมา มันเป็นกรรมมา นี่ มนุษย์สมบัติ มันไม่มีค่าเท่ากัน นี่เรื่องจากภายนอก

เรื่องจากภายในเราทำแต่ของเรา เราตั้งสติให้ดี เราประพฤติปฏิบัติของเราให้ดี รักษาใจเรา ต้องรักษาใจเรานะ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ถ้ามันเข้าใจเรื่องโลก ช่วงแสวงหาเห็นไหม ออกวิเวก ออกหาความสงบสงัดของหัวใจก็ออกแสวงหา แต่ถ้าจิตมันวิเวกแล้ว มันอยู่ที่ไหนก็อยู่ของมันได้ ถ้าอยู่จะอยู่ของเราเห็นไม ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

คนที่อยู่ทางโลก ถ้าไม่สนใจในศาสนาเลย เขาก็สนุกสนานไปกับการใช้ชีวิตของเขา แต่ถึงเวลาที่สุดทุกคนมันก็หาที่พึ่ง ก็หาไม่ทัน แต่เวลาเราเห็นทางโลกมันทุกข์มันยากอยู่แล้ว เราใช้ชีวิตก็เหมือนกัน พระก็มีชีวิตนะ พระก็ใช้ชีวิตของเราเห็นไหม ในปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็ต้องมีชีวิตของเราเหมือนกัน ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย

แต่ในชีวิตของพระมันได้เปรียบนะ เหมือนนักรบ แม้แต่กองทัพนะ ฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายสนับสนุน กองทัพหน้า กองทัพต่างๆ มันออกสู่ข้าศึก เราเห็นไหม เราได้เปรียบมากเลย เพราะเขาให้โอกาสมาก ให้เราได้ต่อสู้กับกิเลสของเราเอง ข้าศึกก็คือกิเลสในหัวใจของเรา ถ้าเราเข้าไปพิสูจน์ เข้าไปตรวจสอบของเรา

แต่ทางฆราวาสเขา เวลาเขาจะออกวิปัสสนา ออกต่อสู้ของเขา ออกประพฤติปฏิบัติของเขา เขายังต้องมีหน้าที่การงานทางโลก เขาต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัย เขาต้องมีหน้าที่การงานหลายอย่าง แล้วเขาก็มีความทุกข์ของเขา

แต่ของเรานี้เราเสียสละมาแล้ว เรามีหน้าที่ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเราเลย เราก็ต้องต่อสู้ของเรา เราพยายามต่อสู้ พยายามทำ ฝึกฝนขึ้นมาให้ได้ ถ้าฝึกฝนขึ้นมาได้ มันก็เกิดความจริงขึ้นมา สัจจะความจริงขึ้นมา ประสบการณ์ของชีวิต ประสบการณ์ของชีวิตพระก็อย่างหนึ่ง ประสบการณ์ของการประพฤติปฏิบัติถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ เป็นอีกอย่างหนึ่งเห็นไหม มันรับรู้ได้นะ

ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจเรารับรู้ได้เลยว่ามันมีเมตตาธรรม จริตนิสัยอย่างหนึ่งนะ ครูบาอาจารย์ของเราที่ประพฤติปฏิบัติมา ที่ผ่านมานี่ เห็นไหม จริตนิสัยก็อย่างหนึ่ง

แต่ ! แต่คนที่มีคุณธรรมในหัวใจ อย่างเช่น ครูบาอาจารย์ของเราที่ว่านี่เห็นไหม แม้แต่ว่าชีวิตประจำวันของท่านก็.. ทุกคนเห็นไหม ดูชีวิตของคนสิ ผ่านจากทารกน้อยมาทั้งนั้นแหละ เติบโตมาจนชีวิตมีอายุมากขึ้นมา จนเป็นผู้แก่เฒ่าชราขึ้นมานี่ ประสบการณ์ชีวิตมันมีไง

สิ่งต่างๆ ที่เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน แล้วเราจะต้องการให้มีศาสนทายาท ต้องการให้มีผู้ปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ของศาสนานะ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ! โรงพยาบาลไม่มีหมอเนี่ย คนไข้เข้าไปก็ไปนอนรอหมอ

นี่ก็เหมือนกัน ในพุทธศาสนาถ้าไม่มีคนที่ทรงคุณธรรมไว้เลย เราจะแก้ใจอย่างไร จิตใจนี้เวลามันติดขัดขึ้นมา เหมือนคนไข้ ถ้าคนไข้ไปโรงพยาบาลไม่มีหมอนะ คนไข้ก็ต้องรักษาตัวเอง คนไข้ก็พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นมา ให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมา ให้ไข้มันหายไป เพราะเรารักษาไม่เป็น เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เราก็ต้องดันของเราไปเอง มันมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ต้องแก้ไขของเรา แก้ไขเสียเวลามากนะ

ถ้าไม่มีครูบาอาจารคอยชี้นำนะ ทำให้เราเสียเวลา เสียเวลามาก แล้วถ้าผิดพลาดก็ออกนอกทางไปเลย ถ้าไม่ออกนอกทางไปเลยก็กว่าจะแก้ความลังเลสงสัยของเรานี่แหละ ฮื่อ.. อย่างนี้มันเป็นหรือไม่เป็นเนี่ย อย่างนี้มันพิสูจน์แล้วอย่างไรนี่ มันก็ต้องหาทางแก้ไข

แต่ถ้าฟังทำธรรมขึ้นมานะ ถ้าเป็นธรรมของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมจริง มันจะเข้ากัน ธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เว้นไว้แต่เดี๋ยวนี้ เข็มทิศที่มันชี้ผิด เห็นไหม เรามีความผิดพลาดในใจของเราแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็แก้ไขตัวเองไม่ได้แล้ว แล้วยังมีตำราที่จะชี้ผิด โอ้โฮ เข้ากันได้เลยเห็นไหม ออกนอกลู่ทางไปเลย

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ท่านคอยชี้เรา ท่านคอยเตือนเรา คำเตือนนั้นกิเลสมันไม่ยอมรับน่ะ กิเลสไม่ค่อยยอมรับ มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร มันเป็นเรื่องสุดวิสัย มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก มันต้องเป็นอย่างที่เราเป็นนี่ เพราะมันพิสูจน์

อย่างที่เราเป็นนี้เพราะเราเกิดจากอวิชชา เราเกิดมานี้เรามีอวิชชามากับจิตเห็นไหม จิตที่มันเกิดมานี้ ถ้าไม่มีอวิชชามันจะเกิดมาได้อย่างไร ถ้าเกิดขึ้นมานี่ แล้วอวิชชาเห็นไหม

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดจากจิตของเราไม่ได้อีกเลย”

แต่นี่มันอยู่เต็มหัว มันครอบงำอยู่เนี่ย “มารเอย เธอเกิดจากดำริของเรา” ไอ้นี่ความคิด ความอ่าน ความเห็นนี่ มารมันอาศัยมาด้วย ทีนี้อาศัยมาด้วยมันก็หลอกล่อเห็นไหม กิเลสบังเงา บอกว่าสิ่งนี้เป็นกิเลส เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าแฉหน้ากิเลสไว้แล้ว ว่ากิเลสนี้ทำให้เราเกิด กิเลสทำให้เราทุกข์เรายาก

ทีนี้พอความคิดของเรานี่มันบอกว่า “กิเลสนะ”

เราบอกว่า “ไม่ใช่กิเลสหรอก นี่เป็นธรรมะ” แน่... กิเลสมันบังเงาไง

บอกธรรมของพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าบอกว่าปล่อยวางอย่างนี้นะ ปล่อยวางนะ ดูสิ ดูไฟน่ะ สันตติ.. เทียนน่ะ มันจุด มันติดไฟเห็นไหม สันตติ มันต่อเนื่อง มันเผาไหม้ มันให้แสงสว่าง ให้ทุกอย่างพร้อมนะ

จิตเห็นไหม เวลาปฏิบัติไปนี่ ถ้าเป็นคุณธรรม จิตเป็นสมาธิ จิตที่มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมานี่ มันเป็นความสุขของเรา เป็นความสุขของเรา ถ้ามันต่อเนื่องมันจะเผาผลาญเหมือนเทียนเผาไปทั้งเล่มเลย มันจะให้แสงสว่าง ให้ปัญญา ให้ความเห็นกับเรา แต่พอมันมีความสงบนิดหน่อยเห็นไหม โอ๊ย นี่นิพพาน นี่นิพพาน เห็นไหม เทียนจุดแล้วก็ดับ จุดแล้วก็ดับ มันจะเผาไหม้ มันให้แสงสว่างกับจิตนี้ไปตลอดรอดฝั่งไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลากิเลสมันบังเงาๆ อย่างนี้ไง บังเงาให้เราเห็นผิดว่านี่เป็นเป้าหมาย นี่เป็นวิธีการไม่ใช่เป้าหมาย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎกมันเป็นวิธีการทั้งนั้นล่ะ

เป้าหมายของเราคือการชำระกิเลส ชำระกิเลสมันต้องมีเหตุมีผลสิ มันมีการกระทำใช่ไหม เราต้องขี่หัวมันแล้วประหัตประหารมัน มันตายต่อหน้า กิเลสมันตายต่อหน้า เวลากิเลสขาดๆ ต่อหน้าเลย

นี้ไม่มีสิ่งใดๆ ไม่มีอะไรยุบยอบเลย กิเลสไม่ได้ถลอกเลยนะ จะฆ่ากิเลสแล้วเวลาดูเขาฆ่ากัน ทางโลกเขาฆ่ากันนี้ มันต้องเลือดตกยางออกคนนั้นถึงตายนะ นี่เข้าไปลูบๆ คลำๆ น่ะ แล้วบอกว่ากิเลสตาย มีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม

นี่กิเลสมันบังเงาไง ทั้งๆ ที่เรามาปฏิบัติไง เรามาปฏิบัติ เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ เวลามันเป็นไปขึ้นมา ทำไมให้กิเลสมันบังเงา คำว่ากิเลสบังเงานี่มันทุกข์ยากนะ เพราะเราต้องลงทุนลงแรงใช่ไหม

เขามาถามบ่อย “ง่วงเหงาหาวนอน ทุกอย่างทำแล้วก็ง่วงเหงาหาวนอน นั่งก็ตกภวังค์ตลอดเลย”

เราพูดกับเขาประจำนะ “แก้ง่ายๆ เลย อดอาหาร !” ดูสิ เวลามันหิวขึ้นมามันจะนอนไหม มันจะง่วงไหม อดอาหารนี่

แต่อดอาหารนี่ เราอดอาหารเป็นแล้ว เราผ่อนอาหารเป็นแล้ว เราก็ต้องใช้ปัญญาของเรา เราจะหล่อเลี้ยงอย่างไรพอให้เป็นไป ฉันพอดำรงชีวิตอย่าให้อิ่ม อย่าให้เข้าไปพอกพูน อย่าให้เข้าไปกดทับเห็นไหม แก้ได้ ! ครูบาอาจารย์ท่านแก้ได้ ถ้าจริตนิสัยมันตรงกัน ถ้าไม่ตรงกันเราก็แก้ไขทางอื่น มันก็ต้องแก้ไขของเราไป

สันตติ.. เทียนน่ะ เวลาเราจุดขึ้นมาเทียนมันให้แสงสว่าง มันติดตลอดเวลา ความเพียรของเราน่ะ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ถ้าความเพียรของเรามีน่ะ มันจะให้ผลกับความสุขกับเราไง ธรรมมันจะต่อเนื่องไง อย่าให้กิเลสมันบังเงาไง ศึกษาธรรมะมาแล้วนี่ ปฏิบัติไปนี่มันจะว่าง โอ๊ย โสดาบันมันจะปล่อยอย่างนี้ สกิทาคามีมันจะปล่อยอย่างนี้ อนาคามีน่ะ มรรค ๔ ผล ๔ โอ้โฮ เป็นไปหมดเลย

มันบังเงาเห็นไหม พอมันบังเงาขึ้นมานะ เวลามันเสื่อมไปน่ะทุกข์ ๒ ชั้น จิตเสื่อมนี้ทุกข์กว่าจิตปกติอีก จิตปกติธรรมดาเราไม่มีใช่ไหม เราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ถ้ามีแล้วมันเสื่อมไป อู้ฮู.. มันคับแค้นใจนะ มันดีดดิ้นอยู่ในหัวใจเห็นไหม

เราก็ต้องตั้ง... แล้วแก้อย่างไรล่ะ.. แก้ก็ต้องอดอาหาร ผ่อนอาหาร

ครูบาอาจารย์น่ะ หลวงตาท่านก็ติดมา ๑ ปีกับอีก ๖ เดือน ครูบาอาจารย์ท่านติดมานี่เป็นประจำ เวลาจิตเสื่อม คนปฏิบัตินี่นะ ผู้ที่ปฏิบัตินี่นะ พระสงฆ์เราต่างๆ ผู้ปฏิบัติ มันจะเดินไปข้างหน้าข้างเดียวโดยที่ไม่เสื่อมไม่อะไรเลยนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันมีจิตเสื่อม มันมีปัญญาไปพิจารณาไปแล้วนี่ มันออกนอกลู่นอกทางนี่ มันเป็นเรื่องธรรมดาเลย

ดูขับรถสิ คนขับรถมันจะชำนาญขนาดไหน ถ้ามีบุญกุศลของเขานี่ บุญกรรมด้วย เขาจะไม่เกิดอุบัติเหตุ เขาจะไม่เกิดสิ่งใดเลย แต่เราไปบนถนนมันจะมีไหมล่ะ มันก็มีบ้าง มันมีบ้างนะ เพราะเราไปทุกวันน่ะ มันต้องมีอุบัติเหตุบ้าง

นี่ก็เหมือนกัน ภาวนาจะไม่ผิดเลยน่ะ เราอยู่กับมันมาทั้งชีวิต จะไม่ให้ผิดเลยนี่ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันก็มีผิดพลาดของมันบ้างเป็นธรรมดา พอผิดพลาดขึ้นมาแล้ว เราก็ให้กำลังใจอย่างนี้ไง ให้กำลังใจกับเรา ให้มันเข้มแข็ง ให้มันต่อสู้ ให้มันทำของมันไป

ถ้ามันเข้มแข็งต่อสู้เห็นไหม เวลาจิตเสื่อมไง จิตเสื่อมก็ต้องแก้ จิตไม่มีเลย จิตที่มันเป็นไปก็ต้องพยายามตั้งหลักเกณฑ์ของเราขึ้นมาให้ได้ เวลามันเสื่อมก็ต้องแก้ พอแก้ขึ้นมา เราต้องแก้ของเราเองน่ะเห็นไหม ของอะไรที่มันเป็นดินพอกหางหมูน่ะ ปล่อยไว้นานเกินไปมันทำให้แก้ยาก

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราอยู่กับหลวงตาท่านจะให้กระฉับกระเฉง ให้ไม่จมกับความรู้ตัว ก็ตรงนี้ไง ก็ตรงเพื่อจะไม่ให้กิเลสมันเหยียบย่ำเราไง เวลาเราเคลื่อนไหวต่างๆ ถ้าเราไม่มีสตินะ เห็นไหม ซากศพเดินได้ มันเห็นแล้วมันออก มันรู้ได้

แต่ของเรานี้ เราไม่รู้ตัวเอง พอเราไม่รู้ตัวเองนะเราก็ว่าเรามีสติสัมปชัญญะพร้อม เราก็ว่าเราถูกต้อง ทำไมครูบาอาจารย์ท่านยังคอยเตือนเราล่ะ การเตือนนั้นบอกขุมทรัพย์นะ การเตือนน่ะ

ทำไมเราอยู่ด้วยกันน่ะ ทางโลกน่ะ มารยาทของสังคมน่ะเขาเห็นผิดเห็นอะไร เขาจะเก็บไว้นะ เขาไม่พูดหรอก เขาไปนินทากันลับหลัง คนนั้นน่ะไม่ดีอย่างนี้ คนนี้ไม่ดีอย่างนั้น แต่นี่เราเตือนกันตั้งแต่ครั้งแรก เราบอกถึงความผิดน่ะมันจะเป็นประโยชน์ไหม มันต้องเตือนต้องบอกเพื่อจะให้เราแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีน่ะ นี่มิตรแท้ !

มิตรแท้คอยบอกความผิดพลาดของเรา ไอ้คนเทียมมิตรต่างหากล่ะ แหม...ไปอยู่ต่อหน้ามันก็บอกว่า โอ้โฮ องค์นั้นก็ดี ภาวนาก็ดี สุดยอดเลยนะ ลับหลังนะมันกระทืบตายเลยน่ะ นี่ไง คนเทียมมิตรเห็นไหม

นี่เหมือนกัน ถ้ามีอะไรครูบาอาจารย์จะเตือนเรา ก็เตือนเราเพื่อเราจะได้แก้ไข ถ้าเราแก้ไขแล้วทำให้เราดีขึ้น จิตใจมันพัฒนาของมันขึ้น นี่ประสบการณ์ของจิต

จิตมันต้องมีประสบการณ์ของมัน มันจะพัฒนาการของมัน สมาธิก็เป็นสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เห็นไหม ขณิกะเป็นอย่างไร อุปจาระเป็นอย่างไร อัปปนาเป็นอย่างไร อาการของมัน ความรู้สึกของมัน ผลของมัน นี่รับรู้หมดน่ะ

พอรับรู้แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ เราจิต โอ้โฮ...วันนี้จะพักจิตน่ะ กำหนดพุทโธๆๆๆ จนเป็นอัปปนาเลย ว่าง.. มันสักแต่ว่ารู้.. จิตมันนิ่งเลย.. โอ้โฮ นี่สุขมาก แล้วผ่อนคลายออกมานะ รีบทำงานเลย เห็นไหม ทำงานหนักๆ เข้า มันก็เหนื่อยล้ามากเห็นไหม เข้าพักในสมาธิ พอพักในสมาธิแล้ว สดชื่นแล้วต้องออกมาทำงาน ต้องบังคับออกทำงาน

เข้าไปพักในสมาธิ อู้ฮู มีความสุขมาก กูไม่ออกแล้วล่ะ กูจะอยู่กับมึง นี่นิพพานๆ มันอยู่ไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้หรอก เพราะมันฝืนธรรมชาติไง ดูธรรมชาติสิ เห็นไหม เราต้องมีการเคลื่อนไหว เราต้องมีการรับรู้ เราต้องมีอะไรต่างๆ มันจะไปอยู่ของมันอย่างนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่มนุษย์หินน่ะ

มนุษย์เห็นไหม เราอยากเป็นมนุษย์ เราเอาหินมาสลักให้เป็นมนุษย์แล้วก็วางไว้อย่างนั้นนะ ตุ๊กตาไง ไม่ต้องกินไม่ต้องอยู่ มันก็อยู่อย่างนั้นตลอดไปไง จิตจะไปอยู่ในสมาธิอย่างนั้นไม่ได้ ! ไม่ได้ด้วยตัวมันเอง มันต้องคลายออกมาธรรมดา ถ้ามันคลายออกมาธรรมดา พอคลายออกมาแล้ว ถ้าไม่วิปัสสนา ไม่ใช้ปัญญาขึ้นไปนี่ มันจะทรงตัวของมันเองได้อย่างไร อยู่สมาธิอย่างเดียวได้อย่างไร

แต่ถ้าเข้าไปในสมาธิ ได้พักในสมาธิบ้างน่ะ มันเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยเห็นไหม มันพออยู่พอกิน เป็นที่พักอาศัย พอออกมาแล้วต้องทำงาน พระพุทธเจ้าท่านสอนตรงนี้ !

ออกจากสมาธินี่ เวลาเราออกจากสมาธิเห็นไหม ออกจากอัปปนาออกมาแล้วนี่ออกจากอัปปนามานะ มันคลายตัวออก คลายตัวออกคือการรับรู้ ความรับรู้นี่ใช้ปัญญาได้คืออุปจาระ

อุปจาระนี่รับรู้ในสิ่งใด ก็รับรู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม เอากาย เวทนา จิต ธรรม มาตีแผ่ ตีแผ่เพื่ออะไร ตีแผ่เพื่อสอนหัวใจไง นี่กาย เวทนา จิต ธรรม นี่มันเป็นของจริงหรือของปลอม

มึงทำไมโง่ขนาดนี้ มึงทำไมยึดมั่นถือมั่นขนาดนี้ ไอ้หัวใจทำไมยึดมั่นมันมากนัก มันแก้กันที่หัวใจ มันไม่ได้แก้กันที่ปล่อยวางข้างนอกหรอก มันปล่อยวางที่หัวใจ แล้วมันตีแผ่ออกมาเพราะอะไร เพราะมันมีสมาธิ มีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันอิ่มเต็มของมัน มีกำลังของมัน ความรู้สึกต่างกันมาก

ถ้าความรู้สึกน่ะเห็นไหม ดูสิ ถ้าเราปฏิบัติกันไม่ได้นะ เจ็บปวดเจ็บช้ำน่ะ โอ้โฮ ปฏิบัติแล้วไม่ได้เลย ทุกข์ยากมากเลย แต่เวลาจิตสงบนะ โอ้โฮ สุขมากๆ ทำไมมันต่างกันน่ะ

จิตสงบความรู้สึกมันก็ต่างกับจิตฟุ้งซ่าน เวลาจิตฟุ้งซ่านๆ ก็ทุกข์ยากมากเลย เวลาจิตสงบมันก็แตกต่าง นี่ผลแตกต่างของสมาธิกับไม่มีสมาธิมันก็แตกต่างแล้ว แล้วเวลาออกมาตีแผ่ให้รับรู้ ขนาดทำความแตกต่างเห็นไหม

ความแตกต่างคืออะไร คือมันไม่เหมือนกัน แล้วสมาธินี่ ที่มันเข้าสมาธิ ว่างๆ ว่างๆ อยู่นี่ เวลามันออกมาคลี่คลาย กาย เวทนา จิต ธรรม เวลามันคลี่คลายออกไปแล้วมันปล่อยวางนี่ นี่เป็นผลของที่เข้าสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปนาสมาธิกับผลที่มันพิจารณาแล้วมันปล่อยวาง มันต่างกันอย่างไร

ผลมันมีความแตกต่างเห็นไหม มันแตกต่างๆ มันถึง อ๋อ เข้าไปนอนตายอยู่ในสมาธิไม่ยอมทำงานนี่ไง พอออกไปทำงาน แล้วทำงานจนเกินไปไม่มีกำลัง มันก็...โอ...ไอ้นี่มันก็บ้าเกินไป ใช้ปัญญาจนเป็นบ้าเป็นหลังขึ้นมานี่ มีแต่ทำงาน มันบ้าทั้ง ๒ ฝ่ายน่ะ มันบ้าทั้งนั้นแหละ แต่มันก็ต้องอาศัยความบ้านี่แหละมันจะหายจากบ้า

ถ้าเราคิดว่าไอ้นี่เป็นบ้า ไม่ทำอะไรเลยนะ โอ้โฮ มนุษย์หินไง มนุษย์ตุ๊กตาเขาแกะไว้แล้วไม่ต้องใช้อะไรเลย อยู่เฉยๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ! เราเกิดมาในวัฏฏะนะ นี่เป็นธรรมชาติ วัฏฏะเป็นธรรมชาติ มันเปลี่ยนแปลงไปโดยธรรมชาติ

นี้เราเอง เราต้องแก้ไขเรา แก้ไขเราที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อแก้ไขเราเห็นไหม แก้ไขเรา พัฒนาเราขึ้นมานะ ศาสนทายาทนะมันมาจากใจ ถ้าใจเป็นศาสนทายาทนะ เทวดา อินทร์ พรหม สาธุการนะ เพราะอะไร เพราะในพุทธศาสนาเราแก้จิต

ถ้าจิตมันมีอวิชชา จิตนี่เกิดจากปฏิสนธิจิต เกิดอวิชชา มันไปเกิดเป็นพรหมนะ มันก็เกิดแล้วก็มีอายุขัย เว้นไว้แต่อนาคามี ๕ ชั้น อนาคามี ๕ ชั้นนะเป็นหมื่นๆ ปีมันจะสุกไปข้างหน้า อนาคามี ๕ ชั้น ต่ำกว่านั้นมานะมันก็เวียนตายเวียนเกิดทั้งนั้นน่ะ เวียนตายเวียนเกิดเห็นไหม

เราว่าจิตมันมีนิพพานอยู่ในหัวใจแล้วน่ะ ไม่มีหรอก ถ้าจิตมันมีนิพพานอยู่ในหัวใจแล้วน่ะ มันต้องได้ถึงนิพพานสิ นี่การประพฤติปฏิบัติน่ะไม่มีเลย ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติหมด มันเกิดจากเหตุ เหตุนี้ทำไป แต่จิตนี้มันไม่เคยตาย ธาตุรู้นี้ไม่เคยตาย สันตตินี้ไม่เคยตายนี่ถูกต้อง !

จิตนี่มันจะเวียนตายเวียนเกิด ไม่บุบสลาย ไม่มีการตาย จะลงตกนรกอเวจี จะกี่หมื่น กี่ล้าน กี่แสนปีนี่ไม่มีวันตาย ไม่มีทางตาย มันเปลี่ยนแปลงของมันไปอย่างนั้น แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพราะเราเชื่อในพระพุทธศาสนา มันมีเหตุมีผลของมัน มีศีลสมาธิ ปัญญา ขึ้นไปแก้ไข แยกแยะออกมา

แล้วว่าพอจิตมันแวบไปเห็นนิพพาน ไม่มีทาง ! เป็นไปไม่ได้ ! เข้ากระแสต่างหาก เวลาคนเป็นโสดาบันนี่ เขาเรียกเข้ากระแสนิพพาน

คำว่ากระแสนิพพาน ตัวจิตเห็นไหม ตัวจิต ปุถุชนจิตดิบๆ นี่ จิตนี้มันเวียนไปในวัฏฏะ นี่จิตเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ใช่ ! เป็นธรรมชาติของกิเลสไง เป็นธรรมชาติของกิเลสที่มันเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติของมัน

แต่เวลาเราเกิดมาในพุทธศาสนาแล้วเราแก้ไขของเรา เราปฏิบัติของเรา แล้วจิตมันแก้ไขของมันถึงที่สุดนะเห็นไหม ถึงที่สุดจิตสงบขึ้นไปแล้วออกใช้วิปัสสนา นี่ วิปัสสนาแล้วกลับไปพักในความสงบ แล้วออกมาเป็นวิปัสสนาด้วยมรรค ๘ เห็นไหม เกิดมรรค ๘ เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดสมาธิ ญาณในสมาธิ วิชาในสมาธิ ญาณในสมาธิ เกิดญาณ เกิดแสงสว่าง เกิดต่างๆ กระบวนการของมันเกิด

เกิดที่ไหน เพราะจิตมันทำงาน เพราะจิตเกิดที่จิต จิตมันเป็นโสดาบันมันเข้ากระแสที่จิต เข้ากระแสไม่เห็นนิพพาน เห็นนิพพานนี้มันเป็นการสอนของลัทธิหนึ่งว่าไปเที่ยวนิพพานๆ เห็นนิพพาน ไม่มี ! ไม่มี ! ไม่มีเห็นนิพพานหรอก

แม้แต่ครูบาอาจารย์ทางปริยัติเขาบอกเห็นไหม นิพพานดิบๆ นิพพานของคนมีกิเลสเห็นไหม ไอ้นั่นคือสมาธิ เพราะเข้าสงบนี่นิพพานของคนมีกิเลส เข้าไปพักใจ เป็นนิพพานของคน นิพพานดิบๆ นิพพานสุกๆ ไม่ใช่ !

นิพพานดิบคือสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่..

นิพพานสุกคือพระอรหันต์ที่ตายไป..

สอุปาทิเสสนิพพานคือนิพพานดิบ คือนิพพานที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ แต่เวลาตายไปเห็นไหม จิตมันเป็นนิพพานอยู่แล้ว สอุปาทิเสสนิพพานคือจิตมันพ้นจากกิเลสแล้ว เป็นพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปีนั้น เวลาตายเห็นไหม นิพพานดิบๆ นี่มันยังเห็นกันอยู่ นิพพานแล้วคือนิพพาน แล้วเวลาตายนี่ไม่มีนิพพานอีกแล้ว เพราะธรรมนี้ออกจากหัวใจนี้ไปก็จบ เพราะไม่มีร่างกายนี้แล้ว ไม่มีสิ่งต่างๆ ที่ต้องสื่อสารกับโลกอีกแล้ว

นิพพานสุก นิพพานดิบ นี่ในพระไตรปิฎกบอกอยู่ นิพพานดิบ นิพพานสุก แต่เราก็มาตีค่ากัน นิพพานดิบก็คือเข้าสมาธิ มันสมาธิน่ะ ไม่เห็นหรอก ว่าเห็นนิพพานเป็นนิพพาน ไม่จริง !

เพียงแต่มันไม่มีใครพิสูจน์น่ะสิ มันพูดอยู่ข้างเดียวน่ะ คนพูดมันก็เห็นไปอย่างนั้นน่ะเห็นไหม นี่พูดถึงการฝึกจิตนะ ถ้าเราฝึกจิตแล้วถ้าเข้าถึงกระแส จิตมันเข้าถึงกระแส

จิตเข้ากระแสคือเป็นพระโสดาบัน พอเข้ากระแสมันเหนือธรรมชาติ ๑ ใน ๔ ถ้าพระสกิทาคามีก็เหนือธรรมชาติ ๒ ใน ๔ พระอนาคามีก็เหนือธรรมชาติ ๓ ใน ๔ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์นะเหนือธรรมชาติหมดเลย ไม่มีอีกแล้ว

เขาบอกว่า “ไม่มีอะไรสักอย่าง” พอบอกว่าไม่มีอะไรสักอย่าง ตอบไม่ถูกอีก ! ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีอะไรสักอย่างคือจิตหนึ่ง โห.. เวรกรรม กลับมาที่สมาธิอีก

ถ้าจิตมันเป็นเองนะ จิตเป็นซะเอง พระไตรปิฎกเป็นทฤษฎี พระไตรปิฎกน่ะ สาธุ..ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ศึกษามาเนี่ย ชีวิตเราทั้งชีวิตนะ เราเกิดมาเนี่ย ถ้าเราไม่มีพระพุทธศาสนาบวชพระเนี่ยใครเป็นคนวางรากฐานไว้ นี่มรดกตกทอดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น

เราดำรงชีวิตของเราอยู่นี่ เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสาวก สาวกะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านวางธรรมวินัยไว้จนเรามาดำรงชีวิตของเรานี่ ถ้าเราไม่เคารพเราจะกตัญญูอย่างนั้นเชียวเหรอ เราจะเนรคุณอย่างนั้น.. ไม่ใช่เนรคุณ แต่เวลาเราแสดงธรรมน่ะ ธรรมมันต้องขึ้นมาจากศาสนทายาท ต้องเกิดขึ้นมาจากหัวใจ ต้องเกิดขึ้นมาจากความจริงอันนั้น

ถ้าหัวใจนี้ยังไม่เกิดขึ้นมาจากความจริงอันนั้น จะไปก๊อบปี้มา จะไปจำมาอย่างนั้น ประสบการณ์ของจิตไม่มี แล้วอย่างนั้นเป็นธรรมๆ ใช้ไม่ได้ ! เราจะเป็นพระที่ใช้ไม่ได้ หรือจะเป็นพระที่ใช้ได้ พระที่ใช้ได้มันจะมีอาวุธ มันจะมีความจริงของมัน มันจะเป็นประโยชน์กับมัน ศาสนทายาทจะเกิดที่นี่

เราต้องทำของเรา ประสบการณ์ทางจิตนะ เราอยู่ด้วยกัน การอยู่ด้วยกันมันเป็นประสบการณ์อันหนึ่ง เวลาเราต้องพลัดพรากจากกันไป ทุกคนต้องมีธุระปะปัง ทุกคนต้องมีความจำเป็นของชีวิต มันเรื่องธรรมดา มันเรื่องธรรมดานะ ฉะนั้นเรารักษาใจของเรา ทำใจของเราให้มั่นคงของเรา เพื่ออยู่กับเรา

ถ้าเรามั่นคงของเรานะ ทุกอย่าง ศาสนทายาทเกิดตรงนี้ ร่มไม้เห็นไหม ร่มไม้ที่มีร่มเงานะเขาจะพักพาอาศัยนะ นกกามันก็ได้อาศัยด้วย อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเห็นไหม ตั้งแต่เข้ากระแส จนถึงสกิทาคามี อนาคามีขึ้นไปถึงที่สุดเห็นไหม

ไม้หลักเห็นไหม ต้นหลักมันปักลงดิน ไม่หวั่นไหวกับลมพัด ไม่หวั่นไหวกับพายุต่างๆ ไม่หวั่นไหวกับโลกธาตุต่างๆ เลย ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรมต่างๆ เราต้องทำตรงนี้ขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของศาสนานะ เพื่อความมั่นคงของชีวิต อันแรกที่สุดเพื่อความสุขของเราก่อน เพื่อความสุข เพื่อความพ้นจากทุกข์ ถ้าจิตมันพ้นจากทุกข์แล้วมันจะรู้ว่าการพ้นจากทุกข์นั้นคืออะไร แล้วชีวิตที่เหลืออยู่นี้มันจะทำอะไร

เหลือนี่มันรอวันเวลาไง รอวันเวลาให้จบกันสักที แล้วไม่เกิดอีก ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรสักอย่าง ! แต่ถ้าเราไม่ทำของเรานะ อันนี้ก็ทุกข์ ข้างหน้าก็จะทุกข์นะ มีทุกอย่างพร้อมเลย หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่า “ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ไม่มีสิ่งใดๆ เลย” นิพพานจบสิ้น เอวัง